สังคมฯ

หลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น

ความหมาย  ความเป็นมาและความสำคัญของเศรษฐศาสตร์

1.1 นิยามความหมาย
วิชาเศรษฐศาสตร์  (Economics)  คือ  วิชาที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่มีไม่จำกัด  โดยมุ่งหมายให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด
คำว่า  “เศรษฐศาสตร์” (Economics)  เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า  “Oikonomikos”    (Oikos  =  บ้าน  +  nomos  =  การดูแลจัดการ)  ซึ่งแปลว่าการบริหารจัดการของครัวเรือน  อย่างไรก็ตามคำว่า  “เศรษฐศาสตร์”  นั้น มีความหมายที่ลึกซึ้งและมีขอบเขตกว้างกว่ารากศัพท์เดิมมาก 
          ถ้าพิจารณาคำว่าเศรษฐศาสตร์จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.2525  หมายถึง  วิชาว่าด้วยการผลิต  จำหน่ายจ่ายแจกและการบริโภคใช้สอยสิ่งต่างๆของชุมชน
 1.2 ความเป็นมาของวิชาเศรษฐศาสตร์
            แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว  นักปราชญ์สมัยโบราณพยายามสอดแทรกแนวความคิดและกฎเกณฑ์ทางเศรษฐศาสตร์ปะปนอยู่ในหลักปรัชญา  ศาสนา  ศีลธรรมและหลักปกครอง  แต่ความคิดเหล่านี้ยังไม่ถือเป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์  เช่น  แนวคิดเรื่องการแบ่งงานกันทำของเพลโต (Plato)  แนวคิดเรื่องความมั่งคั่ง  ของอริสโตเติล (Aristotle)  เป็นต้น 
            ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้มีนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษบุคคลแรกที่วางรากฐานวิชาเศรษฐศาสตร์  คือ อาดัม  สมิธ  (Adam  Smith)  ได้เขียนตำราทางเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของโลก  ซึ่งมีชื่อค่อนข้างยาวว่า  “An  Inquiry  into  the  Nature  and  Causes  of  the  Wealth  of  Nations”  หรือเรียกสั้นๆว่า   “The  Wealth  Nations”  (ความมั่งคั่งแห่งชาติ)  ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1776 โดยเสนอความคิดว่า  รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศควรเข้าแทรกแซงการผลิตและการค้าให้น้อยที่สุด  โดยยินยอมให้เป็นภาระหน้าที่ของเอกชน  ทั้งนี้เป็นการสะท้อนถึงแนวความคิดแบบเสรีนิยมหรือส่งเสริมระบบเศรษฐกิจแบบเสรี
จากหนังสือของอาดัม  สมิธ  ดังกล่าวถือเป็นตำราทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญเล่มแรกของโลก  และตัวเขาได้รับการยกย่องให้เป็น  “บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์”  ในสมัยต่อมา
  อดัม สมิธ  บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์
            ทัศนะและข้อเขียนของอาดัม  สมิธ  ได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อวิชาเศรษฐศาสตร์  แต่ภายหลังแนวคิดเรื่องนโยบายเสรีนิยมได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก  โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำขนานใหญ่ในช่วงปี  1930  ได้ส่งผลให้ความถือที่มีต่อความสามารถของกลไกตลาดลดลงมาก  ทั้งนี้เพราะเกิดการว่างงานอย่างมากและติดต่อกันเป็นเวลานาน  โดยที่นโยบายเสรีนิยมไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้
            กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19  เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยคาร์ล  มาร์กซ์ (Carl  Marx)  เป็นผู้ประกาศลัทธินี้  Das Kapital  เป็นหนังสือสำคัญของคาร์ล  มาร์กซ์  กล่าวถึงวิธีการขูดรีดของนายทุนจากกรรมกร  และแนวคิดเรื่องการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันและแบ่งผลประโยชน์อย่างเสมอภาค
    คาร์ล มาร์กซ์  บิดาแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 อัลเฟรด  มาร์แชล (Alfred  Marshall)  ได้เสนอทฤษฎีว่าด้วยการผลิต  (Theory  of  the  Firm)  ซึ่งต่อมากลายเป็นที่มาของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค 
         ในปี  1954  จอห์น  เมย์นาร์ด  เคนส์  (John  Maynard  Keynes)  ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีบทบาทอย่างมากทั้งในวงการวิชาการและกระบวนการกำหนดนโยบายของอังกฤษ  ได้เขียนหนังสือชื่อ  “The  General  Theory  of  Employment,  Interest  and  Money”  หรือเรียกสั้นๆว่า  “The  General  Theory”  เนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้ขัดแย้งกับเศรษฐศาสตร์รุ่นก่อนๆ  ในเรื่องกลไกตลาด  ที่ไม่สามารถทำงานได้ดีพอสำหรับการแก้ไขปัญหาการว่างงานและปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดขึ้น  ดังนั้น  รัฐจึงควรถือเป็นหน้าที่ที่ต้องแทรกแซง  เพื่อการกระตุ้นให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นและลดการว่างงานลง  โดยรัฐอาจสร้างงานให้ประชาชน  เช่น  การสร้างถนน  สร้างเขื่อน  หรือสร้างสถานที่ทำงานของรัฐ  เป็นต้น 
  จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาค
          การเรียกร้องให้รัฐเข้ามาแทรกแซง  เพื่อแก้ไขปัญหาการว่างงานและเศรษฐกิจตกต่ำนั้นได้รับการยอมรับมาก  และเคนส์จึงได้รับการยกย่องให้เป็น  บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์มหภาค  ในเวลาต่อมากลุ่มนักธุรกิจเริ่มวิตกกังวลว่า  ถ้าบทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจขยายกว้างมากขึ้นจะทำให้ภาคธุรกิจไม่สามารถทำงานได้เต็มที่
          จะเห็นได้ว่าแนวคิดของอาดัม  สมิธ ที่ว่ารัฐควรลดบทบาทหรือลดการแทรกแซงทางเศรษฐกิจลง  แต่ความคิดของเคนส์กลับเห็นว่า  รัฐควรมีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น  ซึ่งปรัชญาทางความคิดของทั้งสองต่างกันแต่ก็มีเหตุผลและมีความสำคัญอย่างทัดเทียมกัน 
1.3 ความเป็นมาของวิชาเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทย
          คนไทยรุ่นบุกเบิกที่เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์จากต่างประเทศเท่าที่มีการกล่าวถึงในเอกสารมีเพียงไม่กี่ท่าน  ท่านหนึ่งคือ  กรมหมื่นสรรค์วิไสยนรบดีฯ  (พระนามเดิมพระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์)  พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงศึกษาสำเร็จปริญญาเอกจากประเทศเยอรมนี  ในปี  พ.ศ.2450  ทรงเขียนวิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิตในเรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจการเกษตรของไทย  ท่านทรงรับราชการเพียง  5  ปี  ก็สิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุเพียง  28  พรรษา 
          บุคคลสำคัญในกลุ่มบุกเบิกการเผยแพร่วิชาเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทยคือ พระยาสุริยานุวัตร ซึ่งเคยดำรงดำแหน่งที่สำคัญคือ เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ   ท่านเป็นผู้เรียบเรียงและพิมพ์ตำราทางเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของไทย 
   พระยาสุริยานุวัตร(เกิด บุนนาค)

 ชื่อ  “ทรัพย์ศาสตร์” ในปี พ.ศ.2454 ต่อมาดร.ทองเปลว  ชลภูมิ  ผู้สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ขออนุญาตจากท่านนำหนังสือดังกล่าวมาจัดพิมพ์ใหม่และให้ชื่อว่า  “เศรษฐศาสตร์ภาคต้น”  เล่ม  1  และเล่ม  2  เพื่อใช้เป็นตำราเรียน
     
          ใน  พ.ศ.2459  กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์  ทรงเขียนและจัดพิมพ์หนังสือชื่อ  “ตลาดเงินตรา”  (Money  Market)  ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าตลาดเงิน  ส่วนคำว่า  “เงินตรา”  ตรงกับภาษาอังกฤษว่า  Currency 
          จนกระทั่ง  พ.ศ.2473 โรงเรียนกฎหมายซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ.2440 โดยกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  ได้ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาและต่อมาในปี  พ.ศ.2477 โรงเรียนกฎหมายได้รับการสถาปนาเป็น  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ระยะแรกเปิดสอนระดับปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์เพียงสาขาเดียว  ได้รับปริญญาธรรมศาสตรบัณฑิต  ใช้อักษรย่อ  ธ.บ.  หลักสูตรธรรมศาสตรบัณฑิตมีเศรษฐศาสตร์อยู่   2  วิชา  คือ  “เศรษฐศาสตร์”  และ “ลัทธิเศรษฐกิจ”   ต่อมาสอนสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก 
ในการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระยะแรกยังไม่มีผู้สอนที่จบเศรษฐศาสตร์โดยตรงอาศัยผู้สอนที่จบการศึกษาด้านกฎหมายจากฝรั่งเศส  เวลานั้นอาจารย์ป๋วย       อึ๊งภากรณ์  ทำงานเป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสอยู่ในหมาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ได้สอบชิงทุนรัฐบาลไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ  ในปี  พ.ศ.  2481  มหาวิทยาลัยจึงขอให้ท่านศึกษาด้านวิชาเศรษฐศาสตร์         ที่มหาวิทยาลัยลอนดอน  สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี  ในปี  พ.ศ.2484  ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยคะแนนสูงสุดของรุ่น  และได้รับทุนเพื่อศึกษาต่อถึงระดับปริญญาเอก
       ต่อมาใน พ.ศ.2492  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ยกเลิกระบบการสอนแบบธรรมศาสตรบัณฑิต  เปลี่ยนโครงสร้างโดยแยกเป็นคณะต่างๆ  ได้ประกาศจัดตั้ง  4  คณะ  ได้แก่  คณะนิติศาสตร์  คณะรัฐศาสตร์  คณะเศรษฐศาสตร์  และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี    คณะเศรษฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถือเป็นคณะเศรษฐศาสตร์คณะแรกของไทย  โดยมี  ดร.เดือน  บุนนาค  เป็นคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์คนแรก  ใน  พ.ศ. 2507  ดร.ป๋วย  อึ๊งภากร  ได้มาดำรงตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   ปัจจุบันการศึกษาวิเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทยได้ขยายกว้างอย่างมากมีการจัดตั้งคณะเศรษฐศาสตร์หรือภาควิชาเศรษฐศาสตร์ในสถาบันระดับอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนมากกว่า  15  แห่ง  และผลิตบัณฑิตสาขาเศรษฐศาสตร์กว่า  3,000  คน  ต่อปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Shop

นิล นิล เครื่องเขียน Nil Nil Shop "อยากจะหาเครื่องเขียนราคาถูกหาได้ที่นี่ นิล นิล เครื่องเขียน" ➡แฟ้มสำนักงาน ราคาชิ้นล...